The Silver Lining Playbook
เป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของ แมธธิว ควิก
ได้ตีพิมพ์ในปี 2008แล้วมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนนำมาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์
ด้วยการเล่าเรื่องของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ ( Patients with bipolar disorder )ได้ออกมาอย่างน่ารักและเข้าอกเข้าใจในมุมมองที่สื่อว่า
“ผู้ป่วยไม่เป็นปัญหาของสังคม”
เรื่องราวของ แพท โซลาทาโน (แบรดลีย์ คูเปอร์) สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบ้าน, งาน และภรรยา
ภายหลังใช้เวลาแปดเดือนในโรงพยาบาลจิตเวช เขาต้องกลับมาอาศัยอยู่กับแม่ (แจ็คกี้ วีฟเวอร์) และพ่อ (โรเบิร์ต เดอนิโร)
โดยหวังจะเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการไปขอคืนดีกับภรรยา ทว่าพ่อกับแม่อยากให้เขาปลดเปลื้องภาระทางใจทิ้งให้หมด
และใช้เวลากับทีมอเมริกันฟุตบอลสุดโปรดของครอบครัว
แต่แล้วเรื่องราวก็เริ่มยุ่ง เมื่อแพทได้พบ ทิฟฟานี (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์)
หญิงสาวลึกลับมากปัญหา ผู้อาสามาเป็นแม่สื่อให้เขาได้ปรับความเข้าใจกับภรรยา
โดยแลกกับการที่แพทต้องช่วยเหลือเธอบางอย่างเช่นกัน
ทันทีที่ข้อตกลงสัมฤทธิ์ผล สายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ก็เริ่มต้น
ทำให้ชีวิตของพวกเขาแปรผันไปนับแต่บัดนั้น
ในหนังจะพบว่า พระเอกตรึงแน่นกับปมรักในอุดมคติ
ในขณะที่นางเอกนั้น ค่อนข้างฉลาด และเชื่ออย่างกระหายต่อการเข้าถึง แรงใจใคร่รักที่พระเอกมีต่อเธอครั้งแรกนั้นให้ได้
ซึ่งก็คือ การทำงานของอาการป่วยของเธอนั่นแหละ แล้วพัฒนาแปรเปลี่ยนไปเป็นกิจกรรมสร้างสรร คือ การฝึกการเต้นรำคู่เพื่อแข่งขัน
ในขณะที่ฝ่ายชาย ก็มีเงื่อนไขให้หญิงช่วยเพื่อเป็นสื่อกลางถึงภรรยาตน เรียกได้ว่า ทั้งสองร่วมกิจกรรมบำบัดตนเองไปพร้อมกันอย่างมีแผนขั้น
ตอน สุดท้ายมีการหักมุมด้วยการฉุกคิดได้ของพระเอกว่า ที่แท้ตัวเองต้องการอะไร ไม่ใช่ฝืนฝันที่พลาดผิดไปแล้ว แต่คือปัจจุบันของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าที่เปิดใจให้ มิใช่หรือ?….
จะเห็นว่าในสังคมตะวันตกนั้น การตัดสินใจใดๆมักใช้เหตุผลมาคัดค้านกัน
แล้วได้ข้อสรุปจากเหตุผลที่ดีกว่าเป็นข้อยุติ แล้วเดินหน้าต่อ..โดยไม่ได้คิดว่าเสียหน้าแต่อย่างใด
ดังเช่น ความรักของทั้งแพทและทิฟฟานี่
หนังเรื่องนี้มีชื่อเข้าชิงออสการ์ในรางวัลใหญ่สุดทั้ง 8 สาขา อันได้แก่
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,ผู้กำกับยอดเยี่ยม,
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม,นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม,นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม,
นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม,ตัดต่อยอดเยี่ยม และ บทภาพยนต์ยอดเยี่ยม
Bradley Cooper เล่นได้ดีมากๆ
ดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่น แต่มีอารมณ์หรือการแสดงออกแบบโมโหร้ายได้
แม้จะขัดกับสายตาหวานๆแต่ก็ดูลงตัว จัดได้ว่าเป็นตัวละครหนึ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง
Jennifer Lawrence แทบจะหาที่ติไม่ได้
ไม่งั้นคงไม่ทำให้เธอได้รางวัล Best Actress มาครอง
บทคนบ้าเธอก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งมึน ทั้งบ้าแบบไม่ห่วงสวย
บทจะเศร้าก็ส่งสายตาละห้อยจนคนดูนี่น้ำตาคลอเบ้าไปตามๆกัน
เพราะ อาจมีแนวร่วมเช่นนี้เยอะ ในสังคมที่เป็นจริงในยุคสมัย ก็ได้
หลายตอนดูแล้ว ขัดหูขัดตา ดังนั้น ผู้ชมจึงควรมีพื้นฐานความเข้าใจต่อผู้ป่วยประเภทนี้
จึงจักสามารถสังเกตติดตาม พฤติกรรมว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาแก้ปัญหาอย่างไร
จะพบได้ว่า นางเอกค่อนข้างรุกและมีเหตุผลมากกว่าพระเอก
และจะเห็นว่า ในสังคมตะวันตกนั้น การตัดสินใจใดๆมักใช้เหตุผลมาคัดง้างกัน
แล้วได้ข้อสรุปจากเหตุผลที่ดีกว่าเป็นข้อยุติ แล้วเดินหน้าต่อ..โดยไม่ได้คิดว่าเสียหน้าแต่อย่างใด